ภูเก้า-ภูพานคำ

ภูเก้า-ภูพานคำ

 

ภูพานคำ เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวยาวจากเหนือลงใต้ อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวหนองบัวลำภู เกิดเป็นตำนานเล่าขานที่เกี่ยวกับภูพานคำขึ้นมานมนาน…ตำนานภูเก้า –ภูพานคำภูเก้า-ภูพานคำ ปัจจุบันเป็นชื่ออุทยานแห่งชาติของจังหวัดหนองบัวลำภู มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นขุนเขา และทะเลสาบที่สวยงาม และมีภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ภูเก้า-ภูเก้าเป็นกลุ่มภูเขาอยู่ระหว่างเขตอำเภอโนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง และอำเภอเมืองหนองบัวลำภู เมื่อมองดูมียอดเข้าเป็นสัญฐานเหมือภูเขาเก้าลูกตั้งเรียงรายติดกันอยู่ เรียกว่า “ภูเก้า” ส่วนภูพานเป็นเทือกเขาทอดยาวจากเหนือลงมาใต้จนถึงเขื่อนอุบลรัตน์ และเป็นที่มาของนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับ “ภูเก้า” เรื่อง ไข่ฟ้าสุพรหมโมกขา ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระสุพรหมโมกขา เป็นลูกชายคนเดียวของนายพรานป่า กำพร้าแม่มาแต่เด็ก ตอนท้าวสุพรหมโมกขาเกิดมา ได้มีสุนัขประหลาดสี่เท้าเก้าหางเกิดมาคู่บารมีด้วย เมื่อเติบโตพอที่จะเรียนหนังสือได้ บิดาจึงนำไปฝากไว้กับฤาษีตนหนึ่ง เพื่อเรียนวิชาต่าง ๆ ร่วมกับเจ้าชายราชบุตรของผู้ครองหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อสำเร็จแล้วต่างกราบลาพระฤาษีกลับบ้านเมืองของตนเองต่อมาบิดาของท้าวสุพรหมโมกขาได้รับได้เสียท้าวสุพรหมโมกขา จึงได้แห่ปราสาทผึ้งมาร่วมงานศพ แต่ไม่ทันพิธีจึงทิ้งปราสาทผึ้งเกลื่อนบริเวณไปหมด ในกาลต่อมาได้กลายเป็นหินรูปต่าง ๆ   อย่างน่าประหลาดชาวเมืองเรียกกันว่า “หินปราสาท” ส่วนเจ้าเชียงสีห์แห่งเมืองภูเวียง ก็ได้ทำบุญถวายสังฆทานอุทิศไปให้บิดาของเพื่อนด้วย บริเวณนี้เรียกว่า “ลาดเชียงสีห์” หลังจากจัดงานศพของบิดาแล้ว ท้าวสุพรหมโมกขาได้นำเอากระโหลกศรีษะของบิดามาตั้งไว้บนหิ้งเพื่อบูชาทุกวัน โดยยึดอาชีพเข้าป่าตัดฟืนมาขาย ขุดเผือกขุดมันและกลอยมาเป็นอาหาร ไม่ได้ยึดอาชีพพรานป่าเหมือนดังบิดา เมื่อพระอินทร์ผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ทราบถึงความเดือดร้อนของท้าวสุพรหมโมกขา จึงได้ส่งนางไข่ฟ้าซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระองค์มาหลบซ่อนอยู่ใน ภายในกระโหลกศรีษะบิดาที่วางอยู่บนหิ้ง เพื่อคอยช่วยเหลือท้าวสุพรหมโมกขา เมื่อท้าวสุพรหมโมกขาเข้าป่าหาตัดฟืนและหาอาหาร นางไข่ฟ้าจะออกมาจากที่ซ่อนแล้วปัดกวาดทำความสะอาดบ้านและประกอบอาหารไว้รอคอย จากนั้นจะเข้าไปหลบซ่อนตัวในกระโหลกศรีษะบนหิ้งตามเดิม ตอนแรกท้าวสุพรหมโมกขาคิดว่าชาวบ้านป่าในแถบนี้คงจะเห็นใจและสงสารจึงมาช่วยสงเคราะห์ตน แต่ครั่นนานวันเข้าท้าวสุพรหมโมกขาก็เริ่มสงสัย วันหนึ่งจึงทำทีเข้าป่าตัดฟืนตามปกติ แต่ย้อนกลับมาที่บ้านแอบดู จึงได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงย่องเข้าไปเอากระโหลกศรีษะบิดาไปซ่อนเสียที่อื่น ทั้งสองได้มีความรักและได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากนางไข่ฟ้าเป็นนางฟ้าที่มีรูปโฉมงดงามมาก จนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วเขตเรื่องความงามของนางได้เลื่องลือไปถึงเจ้าเมืองอุตตระผู้ไร้คุณธรรม และได้พยายามแย่งชิงเอาตัวนางไข่ฟ้าด้วยกลวิธีต่าง ๆ จนสามารถฉุดเอาตัวนางไข่ฟ้าไปอยู่ในพระนครได้ ก่อนที่นางไข่ฟ้าจะไปได้สั่งไว้กับสุนัขเก้าหาง เมื่อท้าวสุพรหมโมกขากลับบ้านก็ได้ติดตามไปพร้อมกับสุนัขเก้าหาง จนถึงลำน้ำพองจึงได้พากันว่ายน้ำข้ามลำน้ำพอง โดยท้าวสุพรหมโมกขาเกาะหางสุนัขไป กระแสน้ำเชี่ยวกรากมาก จนกว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่งหางทั้งเก้าของสุนัขก็หลุดกระจัดกระจายออกไปกองอยู่เก้าท่อน ต่อมาได้กลายเป็นภูเขาเก้าลูกเรียงรายกันอยู่ จึงได้เรียกกันว่า “ภูเก้า” มาจนถึงทุกวันนี้ท้ายสุพรหมโมกขาสามารถช่วยเหลือนางไขฟ้าได้เป็นผลสำเร็จ เจ้าเมืองอุตตระนครจึงยกทัพติดตามมาเพื่อจะเอานางไข่ฟ้า ในระหว่างทางเกิดฝนตก  เจ้าเมืองถูกฟ้าผ่าตาย ชาวเมืองอุตตระนครเห็นว่าท้ายสุพรหมโมกขาและนางไข่ฟ้าเป็นผู้มีบุญญาธิการจึงได้อัญเชิญครองเมืองอุตตระนครด้วยทศพิธราชธรรมสืบไป

อ้างอิงhttp://pr.prd.go.th/nongbualamphu/main.php?filename=PR_MG

ใส่ความเห็น